ปี 2030 พลังงาน ขนส่ง จะพลิกโฉมครั้งใหญ่
ปี 2025 รถใหม่ทุกคันเป็นยานยนต์ไฟฟ้า
ปี 2020 รถไร้คนขับ ลดการเสียชีวิตเป็นศูนย์
ปี 2017 ตลาดโลก 80% ค่าไฟโซลาร์ถูกที่สุด
รัฐบาลที่ฝืนกระแส จะทำให้ประชาชนจนลง
โทนี เซบา กำลังออกมาแสดงให้เห็นถึงเรื่องเหลือเชื่อที่จะเป็นจริงในอนาคตแสนใกล้
เซบา เป็นอาจารย์ทางด้าน ผู้ประกอบการ การพลิกโฉม และพลังงานสะอาดที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือ “Clean Disruption of Energy and Transportation” มีข้อมูลและการศึกษาจาก ซิลีคอนวาเลย์ที่บอกว่า น้ำมัน นิวเคลียร์ ก๊าซธรรมชาติ การไฟฟ้า และรถยนต์แบบเก่า จะกลายเป็นเรื่องล้าสมัยภายในปี 2030
โทนี่ เซบา ให้คำจำกัดความของ disruption ว่าเป็นการมาบรรจบกันของเทคโนโลยีซึ่งทำให้เกิดความเป็นไปได้สำหรับผู้ประกอบการและบริษัทต่างๆเพื่อใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์และบริการ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ การเกิดขึ้นของตลาดใหม่ๆ และการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ที่ทำให้อุตสาหกรรมเดิมแบบเก่าอ่อนแอลงหรือถูกทำลายไป
Disruption เป็นคำที่พวกเราเคยได้ยินหรือจะได้รับรู้อีกมากในอนาคตอันใกล้ ยังไม่มีบัญญัติภาษาไทยที่ชัดเจนว่าอะไร แต่มีคำภาษาไทยที่พอจะทำให้เข้าใจได้ว่า หยุดชะงัก พลิกผัน พลิกโฉม เปลี่ยนโลก ทำลาย
ในวันนี้ขอเลือกแปลคำว่า Disruption เป็นภาษาไทยว่า พลิกโฉม ไว้ก่อน ในอนาคตหากทางราชบัณฑิตสถานไทยเปลี่ยนเป็นคำไหน ค่อยเปลี่ยนให้ถูกต้องตรงกันอีกที
ผมได้ติดตามงานของ โทนี่ เซบา มาหลายปี ได้ข้อมูลใหม่ๆมากมายเกี่ยวกับการพลิกโฉมในอุตสาหกรรมต่างๆที่เกิดจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี เขาถูกเชิญไปบรรยายในงานสำคัญต่างๆทั่วโลก และได้ฉายภาพของอนาคตที่น่าประหลาดใจหลายเรื่องให้คนทั่วโลกฟัง เคยเป็นแขกรับเชิญของ ปตท ให้มาบรรยายในประเทศไทยด้วย ใครสนใจงานของเขาติดตามอ่านได้จากหนังสือ หรือยูทูปก็ได้
สำหรับเนื้อหาที่นำเสนอทั้งหมดในคราวนี้ เรียบเรียงมาจากการบรรยายของ โทนี เซบา ในงาน Pacific Council and the Korea Foundation ที่ SeoulLA Forum เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2017 ในย่านใจกลางเมืองลอสแอนเจลีส สหรัฐอเมริกา เป็นข้อมูลที่อัพเดทที่สุดจาก Toni Seba
โทนี่ เซบา บอกว่า อุตสาหกรรมหลักอย่างพลังงานและการขนส่ง กำลังอยู่ในเส้นทางที่จะถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงภายในปี 2030
“ถ้าคุณมองไปที่อุตสาหกรรมหลายอย่าง เช่น การดูแลสุขภาพ การก่อสร้าง พลังงาน การขนส่ง อุตสาหกรรมทั้งหมดนี้จะถูกพลิกโฉมทำลายไปในช่วง 10-15 ปีจากนี้”
“มันใช้เวลาเพียง 13 ปี จากปี 1900 – 1913 ที่เมืองนิวยอร์คเปลี่ยนวิธีการเดินทางของผู้คนจากที่เคยใช้ม้าเป็นพาหนะหลักมาใช้รถยนต์ ถ้ามีใครในปี 1900 บอกว่า การเดินทางด้วยม้าจะหมดยุคล้าสมัยไป ผู้คนในวันนั้นต้องบอกว่า บ้า แน่ๆ แต่เมื่อการพลิกโฉมเกิดขึ้น มันเร็ว เร็วมากจริงๆ”
โทนี่ เซบา ได้ชี้ให้เห็นถึง 4 เทคโนโลยี ที่จะเป็นตัวเร่งในการพลิกโฉมของอุตสาหกรรมพลังงานและการขนส่ง คือ การจัดเก็บพลังงาน ยานยนต์ไฟฟ้า ระบบอัตโนมัติไร้คนขับ และพลังงานโซลาร์
“อุปกรณ์จัดเก็บพลังงานมีต้นทุนต่ำลงอย่างรวดเร็ว คาดว่าภายในปี 2020 โดยเฉลี่ยแล้ว บ้านของคนอเมริกันจะสามารถมีอุปกรณ์จัดเก็บพลังงานไว้ใช้ในบ้านสำหรับ 24 ชั่วโมงต่อวันในราคาเพียง 1 ดอลลาร์ หรือประมาณ 35 บาท”
ยานยนต์ไฟฟ้าจะพลิกโฉมทำลายอุตสาหกรรมหลายอย่างในหลายๆทาง ยานยนต์ไฟฟ้าสามารถแปลงพลังงาน 90-95%ในแบตเตอรี่ให้เป็นพลังงานที่เอามาใช้งานใหม่ได้ ในขณะที่พลังงานจากก๊าซในรถยนต์สามารถแปลงกลับมาเป็นพลังงานในแบตเตอรี่ได้เพียง 17-20%
สำหรับการขับเคลื่อนของรถ พลังงานไฟฟ้ามีราคาถูกกว่าดีเซลหรือก๊าซ ถ้าเทียบกันแบบไมล์ต่อไมล์ ชาร์จไฟสำหรับยานยนต์มีต้นทุนค่าไฟที่ต่ำกว่า 10 เท่า
รถยนต์ใช้น้ำมันแบบดั้งเดิม ต้องใช้อุปกรณ์ที่เป็นส่วนประกอบทำให้รถขับเคลื่อนได้มากกว่า 2,000 ชิ้นส่วน ในขณะที่ยานยนต์ไฟฟ้ามีประมาณ 20 ชิ้นส่วนเท่านั้น นั่นหมายความว่ายานยนต์ไฟฟ้าเกือบจะไม่ต้องดูแลรักษาอะไรเลย
“ภายในปี 2020 รถยนต์ไฟฟ้าที่วิ่งได้ไกล 200 ไมล์ หรือประมาณ 320 กิโลเมตร จะมีประสิทธิภาพในระดับเดียวกับรถพอร์เช่ แต่มีราคาเพียง $30,000 หรือประมาณ 1.05 ล้านบาท ราคานี้เป็นราคาของรถใหม่ขนาดกลางในปัจจุบัน”
“ภายในปี 2025 รถใหม่ที่ผลิตออกมาทั้งหมดจะเป็นยานยนต์ไฟฟ้า”
“ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ทำให้ยานยนต์ไฟฟ้าสามารถช่วยจ่ายไฟให้กับบ้านหนึ่งหลังได้นาน 2 วัน เห็นได้ว่ามันจะเข้ามาพลิกโฉมได้หลายทางหลายอย่าง”
ถ้ารถทุกคันในเกาหลีเป็นยานยนต์ไฟฟ้า มันสามารถเก็บพลังงานได้มากถึง 75% ของความต้องการใช้ไฟฟ้าในแต่ละวันของเกาหลีใต้ทั้งประเทศ
รถขับเคลื่อนเอง หรือรถไร้คนขับ เป็นอีกธุรกิจที่มีการพัฒนาของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว เซบาชี้ให้เห็นว่าในวันนี้มีรถแท็กซี่วิ่งอยู่บนถนนในสิงคโปร์แล้ว
ไม่ใช่เพียงแค่บริษัทสตาร์ทอัพ แต่มีบริษัทใหญ่ระดับหลายพันล้านดอลลาร์มากถึง 33 แห่ง กำลังทำงานในเทคโนโลยีรถไร้คนขับ เซบาเรียกรถขับเคลื่อนอัตโนมัติเหล่านี้ว่า “คอมพิวเตอร์ที่มีล้อ” นั่นเป็นเหตุผลที่บอกให้รู้ว่าทำไมบริษัทเทคโนโลยีใหญ่อย่าง Apple, Google, Uber, Tesla, และอื่นๆ ถึงสนใจที่จะร่วมพัฒนารถไร้คนขับ มันเป็นการนำเทคโนโลยีเรียนรู้แนวลึกเข้ามาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ เป็นการพัฒนาสำหรับอนาคตที่ต่อเนื่อง
Deep Learning Technology หรือเทคโนโลยีการเรียนรู้แนวลึกมีความก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ถ้ารถเทสล่าคันหนึ่งในกรุงโซลได้เรียนรู้ที่จะหลีกหนีสิ่งกีดขวางในเหตุการณ์หนึ่ง มันจะทำการอัพโหลดข้อมูลส่งต่อให้รถเทสล่าทุกคันในโลกได้เรียนรู้วิธีการที่จะขับรถหลีกหนีสิ่งกีดขวางแบบนั้นด้วย
ภายในระยะเวลาเพียงสองสามปีจากนี้ หรือปี 2020 อัตราการพัฒนาของรถไร้คนขับจะเร่งไปถึงจุดที่มีคนบางคนบอกว่า การเสียชีวิตเป็นศูนย์ ทุกวันนี้ในแต่ละปีมีมนุษย์ถูกฆ่าจากรถยนต์มากถึง 1.3 ล้านคน พวกเราไม่ใช้ผู้ขับขี่ที่ดี
เซบา ได้กล่าวเพิ่มเติมถึงการพลิกโฉมของอุตสาหกรรมการขนส่งในช่วงทศวรรษหน้าว่า…
“อนาคตของการขนส่งจะเป็นยานยนต์ไฟฟ้า รถไร้คนขับ และแชร์ริ่งหรือระบบแบ่งปัน ที่จอดรถใกล้จะเป็นสิ่งล้าสมัย นี่จะเป็นการพลิกโฉมครั้งมโหฬาร มันจะมีช่วงเวลาที่ค่อยๆเปลี่ยนไปเรื่อยๆในช่วงหลังปี 2020 และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเต็มรูปแบบภายในปี 2030”
ทางด้านพลังงาน โทนี่ เซบา กล่าวว่า โซลาร์เป็นอีกเทคโนโลยีที่จะเข้ามาพลิกโฉมอุตสาหกรรมแบบดั้งเดิม
“พลังงานแบบดั้งเดิม เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ฯลฯ มีต้นทุนสูงขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่โซลาร์มีต้นทุนลดต่ำลงต่อเนื่อง”
“ภายในสิ้นปี 2017 ตลาดโลกประมาณ 80% โซลาร์จะมีราคาลดลงไปถึงจุด ‘grid parity’ นั่นหมายความว่าต้นทุนค่าไฟฟ้าจากโซลาร์ของที่อยู่อาศัยหรือธุรกิจที่มาจากหลังคาโซลาร์ และไม่มีการจุนเจือช่วยเหลือ จะมีต้นทุนในระดับเดียวกันหรือต่ำกว่าค่าไฟฟ้าที่จ่ายมาจากโรงไฟฟ้า”
“ต้นทุนของเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มราคาต่ำลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราสามารถคาดการณ์อนาคตได้ มันจะทำให้ทุกๆคนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวทางด้านเศรษฐกิจที่จะทำการติดตั้งโซลาร์บนหลังคาเพื่อใช้เป็นพลังงานไฟฟ้า”
เขากล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ยังมีเทคโนโลยีอื่นๆที่เป็นกุญแจสำคัญที่ต้องจับตามองในปี 2017 ทั้งนี้รวมถึง เซนเซอร์ และ IoT, AI หรือปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่องจักร, หุ่นยนต์, เครื่องพิมพ์สามมิติ และอื่นๆอีกหลายอย่าง
“เทคโนโลยีเหล่านี้กำลังจะเข้ามาพลิกโฉมและลบล้างระบบสาธารณูปโภคด้านพลังงานและการขนส่งที่เป็นอยู่ในวันนี้ นี่ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทางด้านพลังงาน แต่เป็นการพลิกโฉมที่เกิดขึ้นจากเทคโนโลยี และเป็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับรัฐบาลของประเทศต่างๆ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยรัฐบาล”
เขาชี้ให้เห็นว่า เกาหลีใต้มีจุดยืนที่เป็นเอกลักษณ์ที่จะได้ประโยชน์จากการพลิกโฉมครั้งนี้ในหลายปีข้างหน้านี้
“เกาหลีใต้มีเทคโนโลยีที่เป็นกุญแจสำคัญหลายอย่าง และมีบริษัทหลายแห่งที่สามารถเป็นผู้พลิกโฉมได้ รถยนต์ไฟฟ้า GM Bolt ถูกออกแบบโดยเกาหลีใต้ มันใช้แบตเตอรี่และอีเล็กโทรนิกส์ของ LG มันเป็นรถเกาหลี บริษัทโซลาร์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นของเกาหลี เกาหลีมีทักษะ เทคโนโลยี และระบบสาธารณูปโภคที่จะเป็นผู้สร้างความมั่งคั่งในการพลิกโฉมครั้งนี้ได้”
ทางด้านรัฐบาลของหลายประเทศ ก็สามารถช่วยในการเร่งให้เกิดการพลิกโฉมในประเทศของตัวเองได้ มันสามารถช่วยสร้างความมั่งคั่งเป็นเงินหลักล้านล้านดอลลาร์ หรือไม่ก็อาจจะมีรัฐบาลของบางประเทศที่คอยขัดขวางให้เกิดความล่าช้า แต่ไม่มีทางที่รัฐบาลไหนจะหยุดยั้งการพลิกโฉมทุกอย่างได้ทั้งหมด
“รัฐบาลของประเทศที่ผลักดันสวนทางกับการพลิกโฉมครั้งนี้ จะถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทำให้พลเมืองจนลง และพวกเขากำลังหาข้อแก้ตัวสารพัดอย่าง ที่สร้างความกลัว ความไม่แน่ใจ และความสับสน ให้กับประชาชน แต่สิ่งเหล่านั้นเป็นทางเลือกของแต่ละรัฐบาล สามารถช่วยในการนำหรือช่วยในการตามก็ได้” Tony Seba
ที่มา : เพจบันทึกการลงทุน https://www.facebook.com/valuewaynjr/
Credit : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=60994
ขอขอบ Dr. Manhattan